เทศน์เช้า วันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๔๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เวลาพระออกบิณฑบาตนะ เวลาพระออกบิณฑบาต ถ้าพระมีสติมีสตังนะ ถ้าชาวบ้านเขามีความสุข เราก็จะเห็น มีความสุข มันก็อยากจะมีความสุขไปกับเขา ถ้าเกิดครอบครัว เวลาบิณฑบาตไป บางครอบครัวเขามีปัญหากันนะ เขาทะเลาะกันนะ เห็นสภาวะแบบนั้นมันก็สลดใจนะ สภาวะแบบนี้เราจะเก็บได้หมดเลย ออกไปบิณฑบาตนะ
แล้วเวลาคนทุกข์คนจนน่ะ เขาจะบ่นกันนะว่า เราเป็นคนทุกข์คนจน เราทำบุญกับเขาไม่ได้ ข้าวทัพพีเดียว เรามีข้าวทัพพีเดียวเราทำได้ ถ้าเราไม่มีกำลังเลย เราอนุโมทนาไปกับเขาก็ได้ เรื่องของบุญกุศลเป็นเรื่องของใจ ใจมันคิด ถ้าเวลามันคิด มันหมักหมม มันมีความทุกข์มาก ถ้ามีความทุกข์มาก วิธีการเอาออก เห็นไหม ธรรมะอันละเอียด วิธีการเอาความหมักหมมของใจที่มันมีความทุกข์ความยากนี้ออกจากใจ แต่วิธีการอันนี้ ถ้าเราสอน สอนเรานักปฏิบัติ ถ้าผู้ที่เข้าถึงธรรมประพฤติปฏิบัติ ต้องทำสมาธิก่อน แล้วพยายาม มีพื้นฐานแล้ว พอจิตสงบแล้วค่อยวิปัสสนา เพื่อจะเอากิเลสออก แต่ถ้าพูดถึงว่า ศรัทธาเขายังไม่เชื่อมั่น ก็ต้องให้เขาทำทานก่อน ถ้าเขาทำทานก่อน เวลาสละออก ออกจากความคิด สละความคิด เพราะเวลานั่งสมาธิ ถ้าจิตมันฟุ้งซ่าน นั่นก็คือความคิดนั่นแหละ แต่เพราะเราควบคุมมัน เรามีสติ เราควบคุม เราต้องการต่อสู้ เหมือนกับเวลานักมวยเขาต่อสู้กัน เขาต้อนอีกฝ่ายหนึ่งเข้ามุม
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราจะต้อนกิเลสของเราเข้ามุม มันจะมีความต่อต้านมาก มันจะมีความดิ้นรนมาก แต่คนที่ว่าเขาไม่ศรัทธา เขาไม่รู้ แต่ถ้าเราบอกให้เขาสละทาน เขาทำทาน อันนั้นน่ะเขาสละออก แต่นักมวยต่อสู้กันกลางเวที ถ้านักมวยต่อสู้กันกลางเวที คู่ต่อสู้อาจจะต่อยคู่ต่อสู้นั้นล้มลงก็ได้ นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตมันมีการสละออก มันมีความสดชื่น มันมีความสุขของมันขึ้นมา มันก็มีความสุขของมันขึ้นมา แต่อย่างนี้มันก็เริ่มต้นจากปูพื้นฐานไป นี่เรื่องของศาสนาไง
เรื่องของบุญกุศลเป็นเรื่องของใจ ถ้าใจมีศรัทธามีความเชื่อ เรามีความเชื่อนะ ดูโลกเขาสิ ทุกคนว่าเป็นชาวพุทธๆ แต่เวลาออกไปต่างประเทศนะ ศาสนาพุทธสอนอะไรจะไม่รู้เลย ไม่รู้เพราะอะไร เพราะเราไม่ได้ศึกษา แต่ศาสนาอื่นเขาต้องศึกษา เขาต้องพยายามค้นคว้าของเขา เพื่อหาหลักเกณฑ์ของใจ แต่ศาสนาพุทธของเรามันเป็นเสรีภาพ ทุกคนมีความเชื่อ มีเสรีภาพ ทำได้ ถ้าไม่มีความเชื่อ เราก็เป็นชาวพุทธแต่ชื่อ ถ้าชาวพุทธแต่ชื่อ เราจะไม่ได้ประโยชน์เลย
เหมือนอาหารอยู่ ถ้าอาหารมาตั้งต่อหน้าเรา ถ้าเราตักอาหารนั้นใส่ปาก เราจะได้รสชาติของอาหาร ร่างกายจะได้อาหารนั้นเป็นเรื่องการหล่อเลี้ยงชีวิต แต่ถ้าเราไม่ได้กินอาหารนั้น เราจะหิวโหยตลอดไป นี้ร่างกายนะ ถ้าร่างกายไม่ได้กินอาหารมันต้องตาย มันถึงต้องกินโดยธรรมชาติ จะรู้อะไรหรือไม่รู้อะไร มันก็กินอาหารของมัน แต่ใจไม่เป็นอย่างนั้น ใจถ้ามันปิดขึ้นมาแล้ว มันไม่รู้สิ่งนี้ แล้วเวลามันทุกข์ร้อนขนาดไหน มันก็ทุกข์ร้อนของมันไป จนขนาดว่าเขาทำลายตัวเองได้ เพราะความทุกข์ของใจ เวลามีความทุกข์มากๆ จนบีบคั้นตัวเองนะ หนีทางนี้ดีกว่า เพราะอะไร เพราะคิดได้แค่นั้นไง เห็นแต่วัตถุ เห็นแต่ร่างกายนี้ คนเราตายแล้วก็แล้วกัน พอตายแล้วก็จบสิ้นกัน แต่ไม่รู้เลยว่าจิตนี้ไม่เคยตาย จิตนี้ไม่เคยตาย พอตายสภาวะแบบนี้ไป ความรู้อันนี้มันก็ตามไป ความทุกข์อันนี้มันตามไป สิ่งนี้มันตามไป เพราะอะไร
เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาย้อนอดีตชาติ บุพเพนิวาสานุสติญาณ เวลาย้อนอดีตชาติมันย้อนไปไหนล่ะ? มันก็ย้อนจากความคิดนี้ ทำไมเป็นพระเวสสันดรรู้ได้อย่างไร เป็นพระโพธิสัตว์รู้ได้อย่างไร รู้ได้อย่างนี้เพราะเคยมีภพชาตินั้นฝังอยู่ที่หัวใจอันนั้น สิ่งนี้ฝังอยู่ จิตที่ไม่เคยตาย มันถึงย้อนได้สภาวะแบบนั้น
อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราทำลายตัวเอง ถ้าเราตายไป เราจะพ้นจากทุกข์ มันจะพ้นไปไหน เพราะเราทำลายชีวิตของเรา ทำลายชีวิตของเรา แล้วเราต้องไปเผชิญกับกรรม เพราะอะไร เพราะโลกนี้มีเพราะมีเรา สรรพสิ่งมีเพราะมีเรา สมบัติพัสถานมีคุณค่าขึ้นมาเพราะมีเรา พอเราตายปั๊บ สมบัตินั้นก็เป็นของโลกเขา ลูกหลานได้สมบัตินั้นไป ถ้าไม่มีลูกหลาน รัฐบาลเขาก็ยึดของเขาไป เห็นไหม สิ่งนี้เป็นสมบัติประจำโลก แต่ใจดวงนี้มีบุญกุศล มีความสุขความทุกข์อันนี้ซับไปกับใจ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงสอน ถึงว่าเริ่มจากศรัทธาความเชื่อ ถ้ามีศรัทธาความเชื่อนะ แต่โลกเดี๋ยวนี้เชื่อได้อย่างไร ถ้าเราเชื่อไม่ได้ เราต้องย้อนกลับมา กลับมาที่ตัวเรา เรามีทุกข์ไหม ชีวิตนี้มันคืออะไร ถ้าเรามีปัญหาย้อนถามตัวเราเองขึ้นมา เราจะหาเหตุผลตอบกับชีวิตของเรา
เวลาชีวิตเราดำเนินชีวิตไป ต้องดำเนินชีวิตนะ คนเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เคยปฏิเสธเรื่องปัจจัย ๔ ที่อยู่อาศัย อาหาร ยารักษาโรค สิ่งนี้มันเป็นปัจจัย ๔ เครื่องนุ่งห่มอาศัย เครื่องนุ่งห่ม เห็นไหม ปัจจัย ๔ นี้มันต้องการดำรงชีวิต สิ่งที่ต้องมีอยู่ ขาดไม่ได้ ชีวิตนี้ขาดสิ่งนี้ไม่ได้ แต่ปัจจัย ๔ นี้เราอาศัย เราก็ทำอาชีพสัมมาอาชีวะของเราเพื่อสิ่งนี้
เวลาพระออกปฏิบัตินะ เวลาออกธุดงค์ เหมือนนก มีปีกกับหางเท่านั้น มีบาตร มีบริขาร ๘ เสร็จแล้วเวลาออกบิณฑบาต ฉันเสร็จแล้ว ล้างเก็บบาตรเสร็จแล้ว ก็เก็บบริขาร แล้วก็เดินไป เหมือนกับนกนะ ไม่ติดในสมบัติ ไม่ติดในที่อยู่ เห็นไหม
ชีวิตนี้มีเท่านี้ แล้วดำรงชีวิตได้ เพียงแต่เราไม่ได้เป็นพระ เราเป็นคฤหัสถ์ สิ่งนี้ก็ต้องมีที่อยู่ที่อาศัย ปัจจัย ๔ อย่างนี้ก็ต้องหา หามาเพื่อความดำรงชีวิตอยู่ แล้วชีวิตนี้ย้อนกลับมาสิ เรามองออกไป คนที่เขาไม่ศรัทธา เขาไม่เชื่อเรื่องศาสนานะ ชีวิตนี้เขาอยู่ไปวันๆ หนึ่งนะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในธรรมนะ ผู้ที่มีสติอยู่วันหนึ่ง หรือผู้ไม่ปฏิบัติวันหนึ่ง ดีกว่าเขามีชีวิตอย่างนั้นตลอดชีวิตของเขา เขามีชีวิตอย่างนั้นแล้วเขาไม่สนใจ ชีวิตนี้ใช้ไปโดยธรรมชาติ เกิดมาเพราะมีบุญกุศลถึงเกิดเป็นมนุษย์ ว่าเกิดเป็นมนุษย์นี้เป็นสมบัติของเรา เราว่าเราไม่เห็นคุณค่าอันนี้ไง
ดูสัตว์สิ ดูจิตที่ไม่ได้เกิดสิ ดูภูตผีปีศาจสิ ถ้าไม่มีศาสนานะ คนเราถือผีถือสาง บูชาผีบูชาสางตามสามแยก เซ่นผีเซ่นอย่างนั้น เพราะไม่เข้าใจ แล้วมีไหมล่ะ? มันมีเฉพาะแบบนั้น
จิตก็เหมือนกัน เรามาเกิดเป็นมนุษย์ เรามีโอกาส เรามีโอกาสในการสร้างบุญกุศล เรามีโอกาสในการทำคุณงามความดี แล้วชีวิตนี้เขาเกิดมาแล้วเขามีโอกาส แต่เขาไม่สนใจของเขา เขาใช้ชีวิตไปวันๆ หนึ่ง ชีวิตของเขาจะไม่มีคุณค่าเลย ถ้าชีวิตของเรามีคุณค่า เราเริ่มทำทานของเรา
ทาน ทานเพื่ออะไร ทานเพื่อให้หัวใจมันเอาความหมักหมมของมัน มันมีความตระหนี่ มันมีความพอใจ มันมีความยึดมั่นถือมั่น สิ่งที่มันยึดมั่นถือมั่น ภาคปฏิบัติของเรา ครูบาอาจารย์บางองค์นะ ของใดที่สวยนะ อย่างเช่นขาบาตรสวย ท่านทุบให้หักเลย แล้วใช้อย่างนั้นน่ะ ใช้สิ่งที่ว่า ไม่ให้มันสวยไม่ให้มันงาม ไม่ให้มันติด อะไรสวยทำลายมัน ทำให้มันเสียสี นี่เป็นการดัดตนเองไง
ถ้าเราฝืนความรู้สึกของเรา เราต้องการสิ่งใด เรารักสิ่งใด เราต้องฝืนสิ่งนั้น ถ้าฝืนสิ่งนั้นคือฝืนกิเลส แต่ไม่อย่างนั้นสิ เราแสวงหาสิ่งใด เราต้องการสิ่งใด เราจะแสวงหาสิ่งนั้นมาก ถ้าเราแสวงหาสิ่งใดมาประสบความสำเร็จ เราก็มีความสุขของเราชั่วครั้งชั่วคราว อาศัยแต่สิ่งภายนอก อาศัยแต่อามิส สิ่งที่เป็นวัตถุให้ใจพอใจแล้วจะมีความสุขๆ เราก็แสวงหา เราก็ต้องดิ้นรนอย่างนั้นตลอดไป ตัณหาความทะยานอยากไม่มีวันที่สิ้นสุด ถ้าไม่มีสิ้นสุด มันก็ต้องมีการคิดของมันตลอดไป แล้วเราก็เหนื่อยอย่างนั้นตลอดไป เหนื่อยเพราะการแสวงหามาเพื่อเรา แต่ถ้าปัจจัย ๔ นั้นไม่ใช่แสวงหามาเพื่อเรา นี้มันเป็นความจำเป็น
เรามีปากมีท้อง มันมีความหิวในกระเพาะอาหาร มันต้องการอาหารของมัน มีความหิว เราต้องการหาให้มัน แต่หาอย่างนี้เราก็คิดว่า ถ้าเราไม่ทำแล้วเราจะหาไม่ได้ คนเราเวลาตกงานมันก็มีสิ่งที่รองรับ สวัสดิการต่างๆ มีสิ่งที่รองรับ นี้ก็เหมือนกัน ศาสนานี้รองรับได้นะ ลองเรามาปฏิบัติสิ เรามาอยู่วัดสิ เราอยู่วัดมันต้องมีอาหารอยู่แล้ว อาหารการกินในวัดมันมีอยู่แล้ว เรายอมสละสิ่งนั้นได้ไหม เราก็ทำไม่ได้ แต่เวลาเราทุกข์ร้อนขึ้นมา เราหาสิ่งนั้นได้ เราคิดไง เราอ้างว่าต้องหาสิ่งนั้นมา เราต้องหาของเราขึ้นมา แต่จริงๆ แล้วชีวิตดำรงอยู่ได้ ดำรงอยู่ในโลกนี้ ดำรงอยู่อย่างนี้ได้ ถ้าเราไม่ติดของเราขึ้นมา แต่นี้มันติด ติดศักดิ์ศรี ติดทุกๆ อย่าง
เวลาพระมาปฏิบัติ พระนี้ถ้าปฏิบัติ ถ้ามีความเห่อเหิม อันนั้นเป็นกิเลส แต่พระปฏิบัติ ถ้าดูถูกพระ พระนี้เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นลูกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เป็นกษัตริย์ สละสิ่งนั้นออกมา นี่ก็เป็นกษัตริย์ แล้วร่มโพธิ์ ธงชัยของพระอรหันต์ ห่มจีวร จีวรนี้เป็นธงชัยของพระอรหันต์ สิ่งนี้ห่มร่างกายอยู่ ร่างกายนี้มันยังมีกิเลสอยู่ เราจะรักษาสิ่งนี้ไหม เราจะค้นคว้าสิ่งนี้ไหม นี่มันจะเตือนสติตลอดไป
เวลาเราใช้สิ่งนี้ เวลาเราอยู่ในบ้านของเรา เราจะใช้เราจะนุ่งห่ม เรานุ่งห่มธรรมดา แต่พระจะห่มจีวรก็แล้วแต่ จะฉันอาหารก็แล้วแต่ ต้องปัจจเวกขณะตลอด ต้องมีสติสัมปชัญญะสิ่งนี้ตลอด ว่าสิ่งนี้เราอาศัยชั่วครั้งชั่วคราว เตือนสติตลอด ให้ตัวเองมีสติมีสัมปชัญญะตลอด ไม่เสพ ไม่อาศัยสิ่งนี้ด้วยไม่มีสติสัมปชัญญะ เพื่อจะย้อนกลับเข้ามาที่ใจ สุดท้ายแล้วใจมันอยู่ในร่างกายนี้ ใจมันอยู่ในสิ่งที่ลึกนี้ มันจะติดสิ่งใดก็แล้วแต่ มันติด
พระในสมัยพุทธกาลได้จีวรใหม่มา รักจีวรมาก สงวนรักษาจีวรมาก แล้วคืนนั้นเป็นโรคท้องร่วงตายไป เกิดเป็นเลนนะ พระทำไมไปเกิดเป็นเลนล่ะ นี้อยู่ในพระไตรปิฎก เกิดเป็นเลนอยู่ในจีวรนั้น แล้วตามวินัยของพระนะ ถ้าพระอยู่ในสงฆ์ ถ้าพระองค์นั้นตายไป สมบัตินั้นต้องเป็นของสงฆ์ สงฆ์ต้องแจกกัน สิ่งที่แจกกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาห้ามไว้ก่อนเลยว่าอย่าเพิ่งแจกนะ เพราะพระที่ตายไปมาเกิดเป็นเลนอยู่ ถ้าแจกไป เขาจะมีความโกรธมาก เพราะเขาสงวนรักษาของเขา ถ้าเราไปแย่งสมบัติของเขามา แย่งจีวรมาแจกกัน เขาจะมีความโกรธมาก แล้วถ้าเขาโกรธนะ ความโกรธ อารมณ์นี้มันหนักหน่วง ถ้าเขาตายไปพร้อมกับอารมณ์ความโกรธ มันจะไปสิ่งที่ไม่ดี ให้เก็บผ้านี้ไว้ก่อน ครบ ๗ วัน พอ ๗ วันนี้ เลนมีอายุแค่ ๗ วัน พอเขาตายไป เขามีความสุข เขานอนอยู่ในผ้าจีวรนั้น มีความสุขมาก มีความพอใจมาก แล้วเขาเคยเป็นพระมา เขาสร้างบุญกุศลมา ตายจากนั้นไปขึ้นสวรรค์
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ขนาดนั้นนะ รู้ว่าเลนตัวนี้ตายไป ถ้าตายด้วยความโกรธจะตกนรก แต่ถ้าตายไปด้วยความสุข เพราะเขามีบุญพื้นฐาน บุญของเขาเป็นพื้นฐานอยู่ มันควรจะไปสวรรค์ตั้งแต่ทีแรก แต่เพราะความห่วงในจีวร ความอยากได้ในจีวรนั้นไง ความอยากความต้องการในจีวรนั้น ถึงตายแล้วไปเกิดในจีวรนั้นก่อน แล้วถ้าเกิดจิตนี้รักษาไว้ดี ไม่มีความโกรธก็สูงขึ้น ตายจากเลนนั้นก็ไปเกิดบนสวรรค์ เพราะบุญมีอยู่ แต่บุญนั้นมันก็ยังมาติดในจีวรนี้ เพราะกิเลสยังอยู่ในหัวใจ กิเลสถึงร้ายกาจมากนัก กิเลสในหัวใจของสัตว์โลกนี้ร้ายกาจมากนัก
แม้แต่เราเป็นคฤหัสถ์มันก็รัดร้อยใจเรา แล้วก็เบียดเบียนเรา พระที่ปฏิบัติอยู่ ถ้ายังไม่มีสติสัมปชัญญะเข้ามา ปัจจเวกขณะตลอด กำลังใช้สอยสิ่งใดๆ ก็ต้องมีสติสัมปชัญญะเข้ามาตลอด เพื่ออันนี้ไง เพื่อไม่ให้กิเลสมันยึด เพื่อไม่ให้มันยึดสิ่งนี้ ถ้ามันตาย มันก็ต้องไปเกิดเป็นเลนเป็นไรอยู่ในสิ่งนี้
ใช้สอยอาศัยไปโดยปัจจัย ๔ เหมือนกัน แล้วให้เห็นโทษของมัน ให้เห็นความต้องการของมัน แล้วดัดแปลงมันตลอดไป สิ่งนี้ดัดแปลงตนเข้ามา มีศีล มโนกรรม ถ้ากรรมมันดีขึ้นมา อธิศีล จิตนี้สงบเป็นสัมมาสมาธิโดยง่าย ถ้าทำโดยง่าย เห็นไหม ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วปัญญาเกิดขึ้นมา ยังใช้ขึ้นมา ใช้ใคร่ครวญขึ้นมา
จากเริ่มต้นออกบิณฑบาต เห็นเขาครองเรือนกันน่ะ บางครอบครัวเขาก็มีความสุข บางครอบครัวเขาก็มีทะเลาะเบาะแว้งขึ้นมา มันจะย้อนกลับเข้ามาที่เรา เราสละสิ่งนี้ออกมาแล้ว สิ่งที่เขาดำรงชีวิตกันอยู่ เราสละออกมาเพื่อเป็นพรหมจรรย์ เพื่อให้ใจนี้เป็นพรหมจรรย์ เพื่อปฏิบัติมา เพื่อถึงใจของเรา เราปฏิบัติของเราขึ้นมา ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ ยังมีโอกาส ลมหายใจขาดเมื่อไหร่จะหมดโอกาสนะ
เตือนสติของเรา เราไม่ใช่นักบวช เราเป็นคฤหัสถ์ เราก็สามารถปฏิบัติได้ ปฏิบัติเพื่อดูใจของตัวเอง ให้มีศีล มีสมาธิ แล้วมีปัญญา แล้วจะละเอียดเข้ามา มีความสุขเข้ามาๆ ความสุขเกิดขึ้นมาจากหัวใจจากภายในก็ได้ ความสุขเกิดขึ้นมาจากการแสวงหาสิ่งที่เป็นสมบัติแล้วเราพอใจก็ได้ แล้วความสุขสิ่งใดจะมีคุณค่ามากกว่ากัน เราต้องปฏิบัติของเรา แล้วมีน้ำหนักขึ้นมาในหัวใจ มันจะเข้าใจสิ่งนี้ แล้วมันจะแสวงหาสิ่งนี้ แสวงหานะ
เราสละออกมาอยู่ในวัดในวา แล้วเราเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติ มันก็มีความสุขได้ เราต้องแสวงหาสมบัติจากภายนอก จากโลก แล้วเราก็มีความสุขได้ ความสุขต่างกันขนาดไหน มันก็ต้องอยู่ที่เราแสวงหา อยู่ที่เราตัดสินใจจะใช้ชีวิตอย่างไร ชีวิตของเรา ในศาสนาพุทธ พุทธชิโนรส เป็นพระนี้เป็นพระ เราไม่ได้เป็นพระเราก็เป็นบริษัท ๔ พระพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับเราแล้ว ฝากไว้กับเรา แต่ถ้าเราค้นคว้าขึ้นมา ใจนี้เป็นของเราเอง
รับฝากศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอันหนึ่ง เราปฏิบัติขึ้นมาเป็นสมบัติของเราอีกอันหนึ่ง ในสมบัติของเรา เราจะแสวงหาไม่แสวงหา ต้องถามตัวเอง เอวัง